กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
มีดรุณีนางหนึ่งนามว่า
Kagari อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายนามว่า
Fllay ซึ่งพ่วงน้องสาวร่วมบิดาเดียวกันนามว่า
Kira หลังจากบิดาตายจากไปเมื่อเด็กสาวอายุ8ปี มารดาเลี้ยงที่เคยใจดีก็เปลี่ยนนางยักษ์คอยกดขี่Kagariให้รับใช้สองแม่ลูกราวข้าทาส จนเพื่อนบ้านพากันขนานนามหญิงสาวว่า
\"ซินเดอเรลล่า\" และนามคาการิก็เลือนหายไปตามกาลเวลา
และแล้วหญิงสาวผู้อาภัพก็อายุครบ16ปี...
วันหนึ่งมีสาสน์จากปราสาทผู้ครองแคว้นมาถึงบ้านทุกหลังคาเรือน เรียนเชิญหญิงสาวทุกคนให้ไปร่วมงานเลี้ยงเต้นรำฉลองวันเกิดครบรอบ16ปีของ
เจ้าชายAthrun เฟลย์ที่มุ่งมาดปรารถนาตำแหน่งแม่ยายองค์รัชทายาทเต็มที่จึงจัดแจงแต่งตัวให้คิระลูกรักสุดสวาทขาดใจอย่างปราณีต โดยมีคาการิที่สะกดกลั้นน้ำตาแห่งความรันทดเป็นลูกมือ
ในคืนวันงานนั้นเอง..คาการิซึ่งไม่มีสิทธ์ไปร่วมงานอย่างแน่นอนก็ไปนั่งร้องไห้รำพันกับนกแก้วปริศนาที่เข้ามาทำรังอยู่ใต้หลังคาห้องครัว และหญิงสาวตั้งชื่อให้ว่า
Tori
\"ทำไมโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้นะ น้องสาวข้าได้ไปงานแก่ข้ากลับต้องมานั่งอยู่ก้นครัวแบบนี้\"
คาการิรำพัน
\"Tori...\"    นกแก้วร้องเสียงสูง
ทันใดนั้นก็มีแสงสีชมพูสว่างเรืองรองพร้อมปรากฎร่างนางฟ้าในชุดขาวผู้มีผมสีชมพูหยิกหยักศก ซึ่งคงจะสวยงามมากถ้าไม่มีลูกบอลกลมๆหลากสี13ตัวรายรอบร้องเสียง \"Haro! Haro!\" สุดแสนหนวกหู แล้วนางฟ้าผมชมพูก็บอกหญิงสาวว่าตนชื่อ
Lacusเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวของหญิงสาวนั่นเอง และมาเพื่อช่วยเหลือให้คาการิได้ไปพบเนื้อคู่ในงานเต้นรำ
แม้คาการิจะไม่เข้าใจเรื่องเนื้อคู่อะไรเท่าไร แต่ความอยากไปงานเต้นรำจึงรีบเร่งเร้าให้นางฟ้าทูนหัวของตนช่วยทันที ดังนั้นนางฟ้าลาคัสจึงเสกชุดซอมซ่อของหญิงสาวให้เป็นชุดราตรีสีเขียวอ่อนรับกับริบบิ้นที่ผูกผมของหญิงสาวอย่างงดงาม จากนั้นก็เสกลูกบอลมีชีวิตที่นางเรียกว่า
Pink_chanให้กลายเป็นรถม้า แล้วเลือกบอลอีกสองสีมาเป็นม้าเทียมรถ ส่วนคนขับก็ใช้นกแก้วโทรินั่นเอง
ก่อนหญิงสาวจะเดินทางไปร่วมงานเต้นรำ นางฟ้าลาคัสก็กำชับว่าให้รีบกลับก่อนเที่ยงคืนมิฉะนั้นมนต์จะเสื่อม และคาการิต้องกลับสู่สภาพเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมาถึงงานเต้นรำในปราสาท ความที่หญิงสาวมาเป็นคนสุดท้ายจึงกลายเป็นจุดสนใจของงานไปทันที เจ้าชายอัสรันที่กำลังเต้นรำกับน้องสาวของคาการิเมื่อสบตากันเข้าก็เกิดศรรักปักอกรีบผละมาขอหญิงสาวเต้นรำแทนทันที และทั้งสองก็ไม่ยอมเปลี่ยนคู่กันเลยตลอดงาน จนคิระที่มั่นอกมั่นใจว่าหว่านเสน่ห์ได้ผลถึงกับพร่ำรำพันกับมารดา
\"เจ้าชายเจอลูกก่อนแท้ๆ นังนั่นคาบไปกินเฉยเลย!!\"
และเฟลย์ก็ต้องปลอบให้ใจเย็นๆด้วยวางแผนการครอบครองตำแหน่งแม่ยายองค์รัชทายาทไว้แล้วนั่นเอง...
และแล้วสัญญาณบ่งบอกเวลาเที่ยงคืนครั้งที่หนึ่งก็ดังขึ้น!
บึ้มมม
คาการิที่กำลังเคลิ้มกับความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้าชายพลันได้สติ รีบวิ่งหนีออกจากงานไปทันที แต่อัสรันไม่ยอมปล่อยหญิงสาวหลุดมือไปเด็ดขาดจึงรีบวิ่งตามจนทันกันที่ประตูออกนอกปราสาท
\"ข้าต้องกลับแล้ว!\"    คาการิพยายามปลดมือเจ้าชายออกอย่างอาลัยอาวรณ์แต่ความกลัวหน้าแตกมีมากกว่าจึงออกแรงเต็มที่จนผลักเจ้าชายล้มลงกับพื้น
\"เจ้ายังไม่บอกชื่อกับข้าเลย\"    เจ้าชายตัดพ้อ
\"ข้าชื่อคาการิ ข้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหลังปราสาทนี่แหละ\"    แล้วคาการิก็ถลกกระโปรงโกยอ้าวไม่เหลียวหลัง เหลือทิ้งไว้เพียงรองเท้าแก้วข้างหนึ่งเป็นของดูต่างหน้าแก่อัสรัน
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเจ้าชายจึงมอบภารกิจลับให้แก่สามทหารเสือคู่ใจคือการหาหญิงสาวที่สามารถสวมรองเท้าแก้วข้างนี้ได้นั่นเอง และแล้วสามทหารเสืออันประกอบไปด้วย
Yzarkผู้ใจร้อนวู่วาม,
Dearkaจอมขี้เกียจ, และ
Nicole ผู้มอบชีวิตจิตใจให้แก่เจ้าชายเพียงคนเดียวก็ค่อยๆนำรองเท้าแก้วไปให้หญิงสาวในหมู่บ้านหลังปราสาทลองทีละหลังคาเรือน และในที่สุดก็มาถึงบ้านของคาการิ(แต่เฟลย์กับคิระยึดเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตน)
เมื่อได้ฟังเรื่องจากอิซาคที่ทำตนเป็นหัวหน้ากลุ่มและได้ยินชื่อคาการิแล้วก็ลำดับเรื่องราวได้โดยทันทีเลยให้คิระลองรองเท้าก่อน พร้อมกันนั้นก็รีบลากคาการิไปล่ามโซ่ไว้ในคอกวัว เมื่อกลับมารับหน้าสามทหารเสือก็พบว่าลูกรักกำลังลำบากใจที่ยัดเท้าไม่เข้ารองเท้าแก้วสักที เฟลย์ต้องรีบยัดเงินให้อิซาคให้สับเปลี่ยนรองเท้าแก้วที่ตนทำเลียนแบบขึ้นมาเอง แต่เดียร์ก้าซึ่งสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลกำลังจะท้วงก็โดนเฟลย์หว่านเสน่ห์ใส่เลยเออออห่อหมกไปด้วย เหลือแต่นิโคลที่ออกไปเดินเล่นนอกบ้านเพราะเหม็นขี้หน้าคิระตั้งกะแรกเห็น แล้วก็ได้ยินเสียงเพลงลอยมาตามลมเลยเดินหาที่มาจนพบคาการิในคอกวัว ด้วยความสงสารก็เลยปลดโซ่ให้แล้วพามาที่ห้องโถงบ้านซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการติดสินบนพอดี พร้อมอ้างพระราชโองการที่ให้หญิงสาวทุกคนลองรองเท้าข้างนี้ และคาการิก็สวมได้อย่างพอดิบพอดีเสียด้วยจึงพาเข้าวังไปอย่างชอบธรรม
เมื่อคาการิได้พบกับอัสรันอีกครั้ง...ด้วยความซอมซ่อทำให้เจ้าชายไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นนางในดวงใจจวบจนได้เต้นรำด้วยจึงเชื่อสนิท แล้วนางฟ้าลาคัสก็ปรากฎกายอีกครั้งพร้อมเสกชุดราตรีชุดเดิมให้คาการิสวมใส่พร้อมรองเท้าแก้วอีกข้างที่หายไป จากนั้นทั้งสองจึงได้ครองรักกันอย่างมีความสุข(มั้ง)จวบจน...
.
..
...
....
.....
แน่ละว่าเฟลย์ที่วางแผนมาเนิ่นนานในการยกลูกสาวของตนให้เป็นเจ้าหญิงพระชายาย่อมไม่ลดละความพยายามเช่นนี้แน่แผนร้ายอำมหิตจึงได้อุบัติขึ้น!?!
หลังจากคาการิกลับจากฮันนีมูนกับอัสรันก็ได้เดินทางกลับบ้านเพื่อเก็บข้าวของตามคำขาดของเฟลย์ที่แจ้งว่าจะไม่ส่งไปให้ที่ปราสาทเองเด็ดขาด
อัสรันเลยมอบหมายให้สามทหารเสือตามมาช่วยขนของ แต่แล้วเมื่อถึงบ้านเก่า คิระก็คอยขัดขวางทั้งสามไว้ ในขณะที่เฟลย์หลอกล่อพาคาการิไปที่บ่อน้ำเก่าในสวนโดยอ้างว่าจะมอบสมบัติสำคัญของพ่อให้ เมื่อถึงบ่อก็เอาขวานจามหัวก่อนผลักตกลงไปในบ่อน้ำลึกอันมืดมิด จากนั้นก็รีบตอกตะปูปิดตายปากบ่ออย่างถาวร ทางด้านคิระก็รีบสับเวรรับรอง3ทหารเสือกับมารดาเพื่อแอบไปดื่มน้ำยาสรรพรสสูตรเข้มข้นเพียง1ลิตรก็เปลี่ยนเป็นอีกคนอย่างถาวร และแล้วคิระก็ได้เข้าวังในฐานะคาการิโดยไม่มีใครสงสัยเลย
เนื่องจากเจ้าชายอัสรันออกรบเป็นเวลา3เดือนถึงเพิ่งกลับเข้าวังไม่อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมียรักมากนักนอกจากนกแก้วที่ตามมาด้วยแต่แรกหายไป และคาการิที่ชอบแสดงความรักด้วยการกระโดดเข้าล็อคคอจากด้านหลังหรือชกตนเสียกระเด็นเวลาอายกลายเป็นคนอ่อนหวานออดอ้อนออเซาะได้อย่างน่ารักเป็นที่สุด
แต่แล้วคืนหนึ่งซึ่งอากาศอบอุ่นผิดปกติจนอัสรันต้องสั่งให้เปิดหน้าต่างห้องบรรทมไว้ นกแก้วโทริที่หายหน้าไปก็บินกลับมา สร้างความดีใจแก่เจ้าชายอัสรันมาก ในขณะที่คาการิตัวปลอมหน้าซีดเผือดเนื่องจากตนไล่นกตัวนี้ไปเพราะมันมองเห็นร่างจริงของตนและเข้าทำร้ายนั่นเอง ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเมื่อพระสวามีออกว่าราชการ คิระก็รีบถือกรงนกไปส่งให้ห้องครัวทำอาหารทันที
แต่ก่อนที่โทริจะกลายเป็นนกยัดไส้ พิงค์จังก็โผล่มาถอดสลักกรงให้และพาหนีไปพบกับนางฟ้าลาคัสกำลังนั่งร้องเพลงในอุทยานอย่างสบายใจ เมื่อนางเห็นนกแก้วมาถึงแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า...
\"เจ้าต้องพยายามทำให้เจ้าชายจดจำเจ้าให้ได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่ได้คืนชีพ และต้องเสาะหาคนที่เกิดวัน เดือน ปีเดียวกันกับเจ้าเพื่อใช้คืนชีพแทนร่างที่เสียหายไปด้วย\"
เสียงนกที่ตอบกลับมากลายเป็นเสียงห้าวๆแต่เศร้าสร้อยของคาการิ
\"ข้ากำลังพยายามอยู่ แต่ข้าไม่อยากชิงร่างมาจากคิระที่เกิดวันเวลาเดียวกับข้าเลย\"
\"เรื่องนั้นไว้ว่ากันทีหลังเถอะ แต่ไฟชีวิตของคิระเหลืออีกไม่นานนักหรอก เมื่อยุ่งกับมนต์ดำแบบนั้น\"
นางฟ้าลาคัสกล่าวเสียงจริงจัง ก่อนมอบHaroสีชมพูไว้เป็นเพื่อนและหายลับไป
ดังนั้นอัสรันก็เลยมีลูกบอลสีชมพูพูดได้เป็นสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกตัว และคิระก็หวาดผวาหนักขึ้นทุกทีๆ
จวบจนวันครบรอบแต่งงานของอัสรันและคาการิมาถึง...
เจ้าชายอัสรันประคองคาการิตัวปลอมเต้นรำเหมือนเมื่อตอนเจอกันครั้งแรก แต่คิระที่เต้นในจังหวะของตัวเองทำให้อัสรันรู้สึกผิดสังเกต และคิระก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกันเลยพยายามเบี่ยงเบนความสนใจโดยการป้อนยาสเน่ห์อีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะทำสำเร็จ คาการิตัวจริงในร่างนกแก้วก็พุ่งเข้าจิกตีอัสรันเป็นการใหญ่!?! แม้จะงงๆอยู่แต่สัญชาติญาณที่ฝังลึกเมื่อแต่งงานใหม่ๆทำให้เจ้าชายไม่กล้าตอบโต้จนโดนลูกถีบโทริเข้าเต็มยอดอกถึงกับล้มกระแทกพื้นนั่นเองจึงจดจำลูกถีบยามภรรยาเขินขึ้นมาได้
บัดนั้น...
เจ้าชายอัสรันก็โพล่งขึ้นมาว่า \"คาการิจริงๆสินะ!\"
และแล้ววิญญาณคาการิก็ปรากฏอย่างเลือนรางทับร่างนกแก้วโทริพร้อมรอยยิ้มอันเศร้าสร้อย
\"งั้นเจ้าก็คือคิระ น้องสาวคาการิล่ะสิ บังอาจมาหลอกข้าได้นะ!\"
อัสรันหันไปตะคอกใส่ภรรยากำมะลอด้วยความโกรธา เมื่อพลันมองเห็นร่างอันแท้จริงภายใต้รูปลักษณ์ของคาการิสุดที่รักได้
\"ตายไปแล้วยังไม่ยอมเลิกราอีกนะ นางซินเดอเรลล่า!\"   
คิระที่สูญสิ้นทุกอย่างจึงตัดสินใจแลกชีวิตกับพี่สาวคนละแม่ของตนทันที โดยการถอดวิญญาณออกมาหมายห้ำหั่นกันให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่ชั่วขณะที่วิญญาณคาการิจะถูกทำลายนั้น พิงค์จังก็อ้าปากดูดวิญญาณคิระเข้าไปในพริบตา และแล้วนางฟ้าทูนหัวลาคัสก็ปรากฏกายอีกคราพร้อมอธิบายว่าอายุขัยของคิระนั้นหมดไปนานแล้ว แต่เฟลย์ผู้เป็นมารดาไม่ยินยอมจึงใช้มนต์ดำเพิ่มไฟชีวิตให้ ดังนั้นร่างของคิระที่ยังใช้การได้อยู่ก็ขอมอบให้วิญญาณคาการิที่ถูกดับไฟก่อนเวลาอันควรแล้วกัน
ด้วยเหตุนี้คาการิในร่างของคิระที่แปลงร่างเป็นคาการิอย่างถาวรก็ได้ครองรักกับอัสรันต่อไปอย่างมีความสุขชั่วกัลปาวสาน...
FIN
P.S. Please watch Gundam SEED now showing on ITV SAT-SUN 8:00am before reading my fairytale(^_^)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น